“การเคลือบแก้วรถยนต์” ให้สวยงาม มีข้อดี – ข้อเสียอะไรบ้าง ?

เคลือบรถยนต์

    รถยนต์ตอนนี้ไม่ใช่เป็นแค่เพียงยานพาหนะเท่านั้น บางคนจะมองว่ารถยนต์เป็นของสะสมอย่างหนึ่ง ที่บางรุ่นยิ่งเก่ากับขายต่อได้ในราคาที่สูง เราจึงได้เห็น ศูนย์การบริการดูแลรถยนต์ ที่เกี่ยวกับ การเคลือบแก้วรถยนต์ เกิดขึ้นมาใหม่ หลายคนอาจจะเคยเห็น แล้วเกิดความสงสัยว่า ทำไมรถยนต์บางคัน ดูแล้วแวววับอย่างมาก นั้นก็เป็นเพราะรถยนต์คันนั้น ได้ทำการเคลือบแก้วมานั้นเอง สำหรับการเคลือบแก้ว ภาษาอย่างเป็นทางการจะมีชื่อเรียกว่า Glass Coating เป็นการนำน้ำยาสูตรพิเศษมาพ่นที่ผิวของรถยนต์

      น้ำยาตัวนี้มีคุณสมบัติ ช่วยในการเป็นเกราะป้องกันพื้นผิวของรถยนต์ ระดับความหนาในการเคลือบแก้ว จะมีอยู่ด้วยกันถึง 9 ระดับ รถยนต์ที่ได้รับการเคลือบแก้ว สังเกตได้ง่ายอย่างมาก ตัวผิวของรถยนต์ จะดูมันแววสะอาดอยู่ตลอดเวลา แต่การเคลือบแก้วหากดูผิวเผินก็เหมือนว่ามันก็ดี แต่จริง ๆ แล้ว มันมีทั้งข้อดี – และข้อเสียอยู่ด้วยกัน ส่วนรายละเอียดแบบเจาะลึก จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปดูในหัวข้อถัดไปได้เลย

การเคลือบแก้วรถยนต์

เจาะลึก ข้อดี – ข้อเสีย ของ การเคลือบแก้วรถยนต์ ให้สวยงาม

  อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ การดูแลรถได้ให้ผู้ขับขี่รถยนต์ ได้รับเข้าใจความหมายของการเคลือบแก้วรถยนต์ว่ามันคืออะไร ทำไมจึงต้องมีการเคลือบแก้วกันด้วย ในหัวข้อนี้ จะมาเจาะลึกถึงข้อดี – ข้อเสียของการเคลือบแก้วรถยนต์ ให้ได้รู้กัน เพื่อที่จะเป็นตัวเลือก ให้คนที่คิดกำลังจะเคลือบแก้วรถยนต์ ว่าควรทำดีไหมรถยนต์ไฟฟ้า ว่าแล้วเราจะไปดูถึงข้อดีของการเคลือบแก้วกันก่อน แล้วค่อยไปดูถึงข้อเสีย เป็นลำดับต่อไป

การเคลือบสีรถยนต์

ข้อดีของการเคลือบแก้วรถยนต์ มีดังนี้

  • ป้องกันรอยขีดข่วนต่าง ๆ ได้ในระดับหนึ่ง อย่างเช่น รอยจากการโดนเศษหินกระเด็นใส่ , รอยจากเศษกิ่งไม้ที่ขูดรถ
  • ป้องกันความร้อนจากแสงแดด ทำร้ายพื้นผิวของตัวรถ เพราะแสงแดดตัวรถ เป็นตัวการอย่างดี ในการทำร้ายสีผิวของรถยนต์ ให้จาง
  • ทำให้รถดูสวยเงางามมากยิ่งขึ้น การเคลือบแก้วจะมีอายุใช้งานได้มากกว่า 1 ปี ขึ้นไป
  • ป้องกันการกัดเซาะของน้ำ ในช่วงหน้าฝน น้ำฝนถือเป็นน้ำที่มีฤทธิ์เป็นกรด เมื่อเกาะอยู่บนรถนาน ๆ อาจจะทำให้ผิวรถเกิดเป็นคราบที่น่าเกลียดได้

ข้อเสียของการเคลือบแก้วรถยนต์ มีดังนี้

  • ราคาในการเคลือบแก้วมีราคาสูง ราคาตั้งแต่หลักพันจนถึงหลักหมื่น
  • จำเป็นที่จะต้องใช้ช่างผู้ชำนาญงานเท่านั้น หากเจอช่างที่ไม่ค่อยมีฝีมือ อาจจะทำให้ผิวของรถได้รับความเสียหายได้